ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มาตรฐานเดียว

๑๕ เม.ย. ๒๕๕๓

 

มาตรฐานเดียว

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พูดถึงมาตรฐาน มาตรฐานการประพฤติปฏิบัติมันมีอันเดียว อริยสัจมันมีอันเดียว ผู้ปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้วมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง มาตรฐานมีหนึ่งเดียวทั้งหมดเลย  กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ฉะนั้น จิตของคนแต่ละคนไม่เหมือนกันอย่างเช่น กำลังพุทโธ ถ้าพุทโธไปแล้วมันมีสิ่งใด  คำว่าพุทโธ มันเป็นวิธีการเบสิกขั้นพื้นฐานในการฝึก เพราะในการฝึก สัตว์มันดีด้วยการฝึก มนุษย์ดีด้วยการศึกษา การศึกษายังไม่ได้ฝึกนะ      ดูสิ  เวลาคนมีการศึกษามาแล้วนะ เวลาทำงานเห็นไหม ต้องไปต้องฝึกงาน  ลองงาน ประสบการณ์เห็นไหม ถ้าเขาจะรับคนทำงาน ผ่านประสบการณ์มากี่ปี ถ้าผ่านประสบการณ์มามากปีเห็นไหม เขามีประสบการณ์ นี่ไง อยู่ที่การฝึก

ทีนี้การฝึก เรามาปฏิบัตินี่เราจะฝึกจิต ฉะนั้นเราฝึกจิตขึ้นมาเราจะบอกว่าภาวนาพุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ แต่เวลาภาวนาไป บางวันดี คำว่าบางวันดีเห็นไหม มันจะปลอดโปร่งโล่งไปหมดเลยเวลามันดี แล้วเวลามันไม่ดีล่ะ คำว่าดีหรือไม่ดี เหรียญมันมีสองด้าน ธรรมดาของจิต ทุกคนใฝ่ดีทุกคนอยากดี แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ที่จิตใต้สำนึกนี้มันขับดันอยู่ตลอดเวลา หลวงตาท่านบอกว่า เวลาภาวนาไป ถ้ากิเลสมันเผลอนะ กิเลสมันหลับนะ โอ้โฮ... ภาวนาพุทโธนี่สุดยอดเลย ภาวนาอะไรก็ดีทั้งหมด ไม่ใช่พุทโธ อะไรก็ดี  ถ้ากิเลสมันนอนหลับนะ แต่ถ้ากิเลสมันตื่นขึ้นมาเท่านั้นนะ พุทโธ ล้มเลย อะไรก็ระเนระนาดหมด

ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องความจริง ดูสิ ใครอยู่ในกรุงเทพฯเห็นไหม อยู่ในที่ราบลุ่ม เวลาหน้าน้ำเห็นไหม สามปีจะมีน้ำท่วมใหญ่หนหนึ่ง โดยวัฏจักรของมัน เราอยู่วัดหลวงปู่เจี๊ยะนี่เรารู้ ต้นไม้ปลูกเล็กปลูกใหญ่ก็แล้วแต่ สามปีสี่ปีนะ มันจะท่วมเป็นเดือนแล้วตายหมด สามปีสี่ปีจะน้ำท่วมใหญ่หนหนึ่ง นี่ วัฏจักรธรรมชาติมันยังเป็นอย่างนั้นเลย แล้วพอมาพูดถึงวัฏจักรของจิต กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจ จะทำอะไรก็แล้วแต่นะ ไม่มีทางฆ่ากิเลสได้หรอก ไม่มีทาง แต่กำหนดพุทโธๆหรือเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เพื่อความสงบของมัน เพราะมีความสงบแล้ว ดูสิ เวลาน้ำท่วมเห็นไหม น้ำท่วมเวลาน้ำขังขึ้นมา ต้นไม้นี่ตายหมด แต่เวลาน้ำไม่ท่วมเห็นไหม เราพยายามจะปลูกต้นไม้กัน เราพยายามทำอาชีพกัน ก็เพื่อประโยชน์ขึ้นมาใช่ไหม แล้วดูสิ สวนของทางปทุมฯ เขาทำสวนส้มนะ  เห็นไหม น้ำท่วมมาคนอื่นตายหมด แต่ของเขานะ เขาทำคันกั้นน้ำไว้ ถ้าน้ำท่วมสวนส้มบริเวณนั้นตายหมดเลย แต่ของเขาไม่ตาย เพราะว่าน้ำมันไม่ล้นคันกั้นเข้ามา เขาทำคันกั้นของเขานะ สูงเป็นเมตรเลย เมตรกว่าสองเมตรด้วย แล้วคันกั้นน้ำนั้นเวลา ๓-๔ ปีได้ใช้หนหนึ่ง เวลาน้ำท่วมขึ้นมานะ ส้มที่อื่นตายหมดใช่ไหม ส้มของเขาราคาดี แต่ความที่ต้นทุนของเขา เขาต้องมีคันกั้นน้ำ เขาต้องดูแลคันกั้นน้ำ เขาต้องต้นทุนสูงกว่าคนอื่นไหม แต่เวลาคนอื่นเสียหายไปเขาไม่เสียหายนะ

อันนี้ก็เหมือนกัน  จิตนี่เวลาจิตกำหนดพุทโธๆหรือปัญญาอบรมสมาธิ มันแค่ความสงบเท่านั้น แล้วโดยเบสิค ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าจิตคนสงบนะ จิตคนสบาย จิตของคนโล่งโปร่งนะ โอ้โฮมันมีความสุข ความสุขอย่างนั้นมันเป็นสามัญสำนึก มันเป็นเรื่องธรรมดา  ความสุขอย่างนี้มันเรื่องพื้นฐาน ไอ้ว่างๆๆๆสบายๆ มันเรื่องพื้นฐาน เราก็สบายเราก็ว่างได้ แต่ไอ้คนที่ว่างๆสบายๆถามมึงทุกข์ไหม ทุกข์ไหมถามมึงซิทุกข์ไหม  ว่างๆน่ะมันอยู่ไม่ได้  ไม่มีสิ่งใดคงที่อยู่ในโลกนี้แม้แต่ความรู้สึกของคน ไม่มีทาง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ทีนี้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่มันเปลี่ยนแปลงโดยทุกข์ไง เปลี่ยนแปลงโดยสามัญสำนึก เปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของมัน ทีนี้เราก็ต้องมากำหนด ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้เพื่อความสงบของใจ ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาแล้วนะ ถ้าจิตมันสงบมันยังไม่สงบบ่อยๆหรอกเพราะมันแค่มันปล่อยวาง มันสงบบ้าง  เพราะอะไรรู้ไหม เพราะระดับของสมาธิ อจินไตย ๔ พุทธวิสัย กรรม โลก ฌาน  ฌาน นี่ อจินไตย ๔ ความสงบของจิต เป็นอจินไตยเลย อจินไตยเพราะอะไร อจินไตยเพราะจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน พื้นฐานของคนไม่เหมือนกัน สรรพสิ่งไม่เหมือนกัน  แต่มาตรฐานเดียว  มาตรฐานเดียว

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ  ฌานสมาบัตินะ  ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ  มันมีระดับของมัน  มันมีระดับของมันนะ  แล้วมันเทียบเคียงได้  มีมาตรฐานเดียว  ถ้าคนได้มาตรฐานเดียวกันนะ พูดไม่มีแตกต่างเลย  คนที่ได้มาตรฐานนะพูดนะได้มาตรฐานเดียวกัน แต่มาตรฐานมันมีอยู่แล้ว ในพระไตรปิฎกมันมีอยู่แล้ว ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นมาตรฐานทางทฤษฎีนะ แต่มันมีมาตรฐานจริงเพราะหลวงปู่มั่น พอหลวงปู่มั่นบรรลุธรรมที่เชียงใหม่ โอ้... ตั้งแต่นั้นมาตรฐานนี้มั่นคงมากเลยเพราะมาตรฐานเห็นไหม “หมู่คณะฟังไว้นะ ท่านขาวได้คุยกับเราแล้ว” พูดถึงหลวงปู่ขาวไง หลวงปู่ขาวนี้เป็นที่พึ่งได้  องค์ไหนที่ได้สนทนาธรรมกันแล้ว ระดับมาตรฐานเดียวกันแล้ว มาตรฐานเดียวกันเลยนะ มันมีมาตรฐานเดียว ถ้ามาตรฐานเดียวผลมันจะเป็นอันนั้น

อันนี้ พูดถึงย้อนกลับมาขั้นเบสิค ขั้นที่ว่าทำไมพุทโธแล้วมันเป็นอย่างนี้ พุทโธนี่นะมันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร  มันเป็นแบบนี้เพราะโดยธรรมชาติของคน  มันมีอวิชชา ทุกคนเกิดมามันมีกิเลสหมด ทุกคนที่เกิดมามีกิเลสหมด แล้วพอกิเลสมันมีอยู่แล้ว กิเลสมันจะหลุดออกไปโดยที่ไม่มีอะไรไปจัดการกับกิเลส  ไม่มีทาง  มันเรื่องเป็นไปไม่ได้  แล้วทำไมต้องทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเพื่อให้มันเป็นอริยมรรค แต่ถ้าไม่มีความสงบของใจมันเป็นโลกียมรรค มันเป็นโลก โลกเพราะอะไร

โลกเพราะความคิดเกิดจากจิต โลกเพราะความคิดเกิดจาภวาสวะ  เกิดจากภพ  เรามีภพกันอยู่ ถ้าไม่มีภพเราเป็นมนุษย์ไม่ได้  เห็นไหมที่ว่าภพชาติๆ บอกว่าภพชาติเขาเป็นมนุษย์นะ  ภพชาติ ชาติไทย สัญชาติ เขาไปดูที่นั่น  ไม่ใช่  ภพชาติมันเป็นปฏิสนธิจิต เป็นภวาสวะตัวภพนั่น ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นหรอก ไม่มีใครรู้ใครเห็น  มีแต่จินตนาการกันไป  พอจินตนาการกันไปก็ว่ากันไปตามน้ำท่วมทุ่ง  ไม่มีอะไรเป็นเนื้อหาสาระเลย เพียงแต่ว่าจำธรรมะพระพุทธเจ้าได้ชัดเจนหน่อยเดียว  พูดได้ชัดเจนเท่านั้น พูดธรรมะพระพุทธเจ้า  ธรรมะพระพุทธเจ้าพุทธพจน์นี้กูไม่เคยค้านเลยนะ กูค้านคนพูด เพราะคนพูดไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องไม่พูดอย่างนั้น  เพราะอะไร เพราะมันมีที่มาที่ไป  มันมีมาตรฐานของมัน มีรากเหง้าไง คนมานี่มีรากเหง้าที่มา พวกโยมมาจากไหนกัน  แล้วก็กลับบ้านของตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เรารู้มันมาจากไหน  ถ้าองค์ความรู้มันมีนะ มันจะเข้าสู่ความจริง องค์ความรู้มันไม่มี องค์ความรู้ไม่มีนะ กูคนกรุงเทพฯโว้ย อยู่ที่ไหน ก็อยู่กรุงเทพฯโว้ย กรุงเทพฯมันมีเขตนะ มันมีเขต เอ็งอยู่เขตไหน บ้านเอ็งอยู่ที่ไหนเลขที่เท่าไหร่ กูอยู่กรุงเทพฯโว้ยกูอยู่กรุงเทพฯ แล้วกรุงเทพฯอยู่ที่ไหน ก็อยู่กรุงเทพฯโว้ย

นี่ก็เหมือนกัน จิตสงบ สงบเป็นยังไง  ก็ว่างๆเว้ย ว่างๆเว้ย  ไร้สาระ  ว่างๆนะ จิตที่มีสติขึ้นมันพร้อมในตัวของมันเอง  ใช่ไหม  เวลาพุทโธๆถ้ามันว่างมันสบายมันก็สบายของมัน มันสบายของมัน  มันสบายเพราะว่าเรามีเหตุ เหตุเพราะเรากำหนดพุทโธ พุทโธนั้นคือตัวกรอง คำบริกรรม  ธรรมชาติของจิตคือธาตุรู้ ธรรมชาติของสิ่งที่มันจะรู้ มันจะรู้ตลอดเวลา แล้วรู้อะไรล่ะ รู้สารพิษ รู้คุณธรรม รู้ความดีงาม รู้สิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยาก มันรู้โดยอวิชชาไง มันไม่รู้ตัวมันเองแต่มันรู้ แล้วรู้อะไรล่ะ  เอ็งป้อนอะไรไปล่ะ

ทีนี้โดยธรรมชาติโดยสามัญสำนึกทุกคนก็คิดว่าถูกหมดใช่ไหม ฉะนั้นเราไม่มีหลักมีเกณฑ์แต่เราจะป้อนพุทโธ  ด้วยความศรัทธาความเชื่อ พุทโธก็สมมติ เราต้องคิดขึ้นมา ถ้าพุทโธมันเป็นพุทโธเราเขียนพุทโธไว้เลย เอาพุทโธแขวนคอเลย กูได้พุทโธแล้ว  ได้ไหม...ไม่ได้  แต่ถ้าเรานึกพุทโธๆๆๆเห็นไหม เกิดจากจิต สำคัญที่ตัวจิต ตัวจิตมันเหมือนกับ ทุกคนกินข้าวหมดทุกคนเลยเราไม่ได้กินข้าวกับเขาเรานั่งมองเขา ท้องเราจะหิวมาก คนอื่นจะอิ่มหนำสำราญแต่เราจะร้องมากเลยเพราะเราไม่ได้กินกับเขา กินคือพุทโธ

ฉะนั้น พุทโธๆไป คำบริกรรม จิตมันได้มีการฝึกของมัน  แต่ถ้าเราไม่นึกพุทโธขึ้นมาพุทโธมันก็ไม่มี นึกพุทโธมันนึกมาจากจิตเหมือนกับเรากินอาหาร ถ้าเราไม่ได้กินเราก็ไม่ได้รสของอาหารเลย  แต่มองเขากินนะ  เรานั่งอยู่ในสำรับนี่คนอื่นกินข้าวหมดเลย อิ่มหมดเลย  เอ้อ..ชั้นก็อิ่มด้วย มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนจะอิ่มต้องตักอาหารใส่ปาก จิตมันจะเป็นไป จิตมันต้องมีการกรองของมันด้วยพุทธานุสสติ พุทธานุสสติ สติบริกรรมพุทโธๆ ถ้าทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นเรื่องธรรมดาเรื่องพื้นฐาน

เรื่องพื้นฐานดูสิ ในการศึกษาของเด็ก เด็กมันโตขึ้นมา  ถ้ามันไม่เรียนเตรียมอนุบาลไม่เรียนอนุบาลมันจะเรียนหนังสืออะไร จะเป็นด็อกเตอร์จะเป็นศาสตราจารย์อะไรถ้ามันไม่ผ่านก.ไก่ ก.กา มา มันจะเรียนด็อกเตอร์มาจากไหน ด็อกเตอร์มันจะลอยมาจากฟ้าหรือ  ถ้ามันไม่เรียน ก.ไก่ ก.กา มาก่อน มันก็มีพื้นฐานของมันมา แล้วถ้าพื้นฐานมันดีนะ ด็อกเตอร์มันจะมีโอกาสได้เป็น ถ้าพื้นฐานมันไม่ดีนะ มันก็เป็นกรรมกร พอจบประถมมันเรียนต่อไปไม่ได้แล้วมันจะไปแบก เห็นทุกข์ไง อยากเห็นทุกข์ก็แบกของหนักจะเห็นทุกข์ไง มันอยากจะเห็นทุกข์มันต้องไปแบกข้าวสารที่ท่าเรือ

แต่ถ้ามันมีการศึกษา  ถ้าพื้นฐานมันดีนะ  มันจะจบด็อกเตอร์มันจะเป็นผู้อำนวยการท่าเรือนั้น มันจะควบคุมท่าเรือนั้น นี่ก็เหมือนกัน ไอ้พุทโธๆๆคือพื้นฐาน มันไปทิ้งพื้นฐานกัน พอทิ้งพื้นฐานกันก็ไปไม่รอด มันไม่มีราก หลักลอย รากลอยนี้เป็นไปไม่ได้ คนเราจะทำโรงงานนะ จะไปทำนาบนก้อนเมฆไง อู้ย... แถวนี้เขาทำนากันทำงานกันบนพื้นดิน โห..มันล้าสมัย นาของฉันอยู่บนก้อนเมฆนะ นาของฉันนี่  โอ้โฮ..เวลาออกเป็นเม็ดรวงข้าวนี่มันเป็นทองคำเลยนะ มันจินตนาการไปหมด มันไม่มีของจริง ถ้าไม่มีความจริงขึ้นมา พุทโธๆๆไป มันจะสบายหรือมันไม่สบาย มันอยู่ที่ว่ากิเลสหลับหรือกิเลสตื่น ถ้ากิเลสมันตื่นขึ้นมานะ มันทุกข์ ถ้ามันทุกข์ขึ้นมา อัดกันด้วยพุทโธ ทุกข์ให้มันทุกข์ไป พุทโธๆไป

ถ้าพุทโธ พุทโธนะ ซึ่งๆหน้า เหมือนหนังคาวบอยเลย ดวลปืนเห็นไหมคาวบอยเวลาดวลปืนเขาเดินใส่กัน เขาเดินเผชิญหน้ากันแล้วชักปืนยิงกัน  เพื่อจะให้ใครชักปืนไปคนนั้นชนะ ถ้ากิเลสมึงเจอหน้ากูแล้วกูพุทโธสู้กับมึง แล้วถ้ามึงสงบต่อหน้ากู มึงสงบต่อหน้ากูเลย พุทโธๆๆ มึงจะแข่งกันพุทโธใส่มึงเลย นี่ไง เพราะมันทำอย่างนั้นเวลาปฏิบัติเราถึงมีพื้นฐานที่เข้มแข็งขึ้นมาใช่ไหม ถ้ากิเลสมันหลับนะ พกปืนมาวันนี้นะจะดวลปืนนะ เฮ้ย...หาคู่ต่อสู้ไม่ได้ว่ะ เอ๊... กิเลสไม่เห็นเว้ย  กิเลสมันนอนหลับ โห... วันนี้สบายมาก โห... กร่างมากเลย เดินไปไหนไม่มีใครสู้ได้เลย เป็นเจ้าพ่อเลย พุทโธๆวันนี้มีความสุขมากเพราะไม่มีคู่ดวลไง กิเลสมันหลับ  ถ้ากิเลสตื่นขึ้นมานะ เผลอนะมันยิงตายเลย  หงายท้องเลย

นี่เห็นไหม พุทโธแล้วทำไมเดี๋ยวมันสุขเดี๋ยวมันทุกข์ไง เดี๋ยวมันสุขเดี๋ยวมันทุกข์เพราะว่าเหรียญมันมีสองด้าน มีดีและชั่ว คนเรามีดีและชั่ว มีความปรารถนาดี แต่มีอวิชชาในหัวใจของเรา แล้วอวิชชามันจะออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่ในขั้นของสมถะนี้ คำว่าสมถะคือจิตสงบ ถ้าจิตเราไม่สงบทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะจิตไม่สงบนะ คำว่าจิตไม่สงบมันเหรียญด้านเดียว เหรียญด้านเดียวเขาเรียกโลกียปัญญา ความคิดนะจินตนาการ โธ่..ทางวิชาการ ในคอมพิวเตอร์นี่มึงเรียนไม่ไหวนะ มึงจำไม่ได้หมดหรอก โอ้โฮ.. ในทางวิชาการมันร้อยแปดพันเก้า แล้วเดี๋ยวนี้วิทยาการใหม่ๆเยอะแยะไปหมด เรียนไม่จบหรอก สิ่งที่เกิดจากโลกียปัญญาเกิดจากโลกมันไม่มีวันจบหรอก มึงจินตนาการไปเถอะ ธรรมะพระพุทธเจ้านะ ธรรมะพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้น้อยไปนะ จะรอศึกษาธรรมะของพระศรีอาริยเมตไตรยด้วย เดี๋ยวจะเอาของพระศรีอาริยเมตไตรและของสมณโคดมมารวมกันนะ แล้วกูจะศึกษา กลัวกูจะรู้ไม่มากไง มันจะรอธรรมะของพระศรีอาริยเมตไตรยมารวมกับพระสมณโคดมนะ อริยสัจของพระสมณโคดมกับอริยสัจของพระศรีอาริยเมตไตร  ต่างกันยังไง และเอามาวิจัยอีกนะ

นี่มันโลกียปัญญาอะไร เพราะธรรมะของพระสมณโคดมกะธรรมะของพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นธรรมะของท่านเพราะเกิดจากใจของท่าน ท่านตรัสรู้ธรรมเพราะใจมันสะอาดบริสุทธิ์ท่านถึงวางธรรมวินัยไว้ให้เราศึกษา ศึกษามาก็เพื่อชำระกิเลสของเรา ไม่ใช่ศึกษามา  พุทธพจน์ๆ  พุทธพจน์น่ะสาธุ  แต่กูเถียงคนพูดพุทธพจน์ ไอ้คนที่พูดพุทธพจน์มึงรู้อะไร แต่พุทธพจน์นั้นเรายอมรับ แต่คนพูดพุทธพจน์ล่ะ เพราะไอ้คนพูดพุทธพจน์ๆนั่น มันเหมือนนกแก้วนกขุนทองไง ของกู ของกู แต่มันเกาะอยู่ในกรง เกาะอยู่ในคอน อะไรของมึง เดี๋ยวเขาจับมึงย่าง มึงเดี๋ยวกูจะจับมึงปิ้งเลย ของมึงๆอยู่นั่นแหละ  ของกู ของกู  พุทธพจน์ๆ  แล้วมึงรู้อะไร

หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรมของเรานะ ท่านบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้า  สาธุ  จะไม่ถามเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้า ความรู้ความเห็นของเรา  เราจะไม่ลังเลสงสัยเลย  จะไม่ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้านะ  แต่นี่ของเรา อ้าง พุทธพจน์ๆๆ แล้วมึงรู้อะไร ไอ้คนพูดพุทธพจน์ รู้อะไร รู้อะไร ถ้ารู้นะ พุทธพจน์ สาธุ  จริงๆมันเป็นทฤษฎีเป็นคำสอนพระพุทธเจ้า ถูก  เราพูดก็พูดเหมือนพุทธพจน์แต่มันเป็นภาษาปัจจุบันไง พุทธพจน์นี้เป็นภาษามคธ เป็นภาษาบาลี แล้วเราก็ศึกษาภาษาบาลีแล้วแปลเป็นภาษาไทยกัน ภาษาพุทธพจน์ ไอ้ภาษาบาลีภาษามคธ มันก็เหมือนภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีเป็นภาษากลางใช่ไหม พอเราศึกษาภาษาอังกฤษแล้วเราก็แปลภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย เพื่อเราจะได้เข้าใจว่าภาษานั้นคือภาษาเพื่อความหมายอะไร

พุทธพจน์ก็เหมือนกัน มันเป็นภาษา มันเป็นคำบอกว่าวิธีการแนวทางประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติเป็นแล้ว ภาษาอังกฤษมันบอก มังกี้ มังกี้ ลิง แล้วมึงจะไปหาที่ไหนล่ะ กูไม่ต้องหากูจับของกูเลยอยู่ในกรง ลิงกูเยอะแยะ

นี่ก็เหมือนกันถ้าพูดถึงความจริงที่เกิดในใจเรา พูดถึงความจริงที่เกิดในใจเรา ถ้าความจริงเกิดที่นี่ หลวงตาบอกอย่างนี้นะ หลวงตาบอกว่า มีดในครัว เวลาเราจะใช้มีด  เราต้องวิ่งเข้าครัวตลอดเวลา ถ้ามีดอยู่กับมือเรา  เราจะทำอะไรก็ทำได้ใช่ไหม  ปัญญาของเรามันเหมือนมีดในมือเรา พูดมาสิ ปัจจุบันพูดได้หมดล่ะ อะไรก็ได้  ก็มีดในมือ มีดในมือนี้ทำได้ทุกอย่างเลย ปกป้องตัวเองก็ได้ทำอาหารอะไรก็ได้  ถ้ามีดในครัวหรือมีดในพระไตรปิฎกไง มีดในครัวก็ ความรู้ในตู้ไง เอ้า  พูดอะไรมานะ พุทธพจน์ว่ายังไงวะ พุทธพจน์ว่าอะไรเว้ย เฮ้ย พุทธพจน์ว่ายังไงวะ กูจะนึกไม่ออกและ แต่ถ้าเป็นของเรานะ พุทธพจน์มันพูดถึงพุทธพจน์ แต่ความรู้เราเกิดแล้ว พูดปัญหา พอปัญหาเกิดเพราะจิตมันเป็นธรรม พอจิตมันเป็นธรรมสิ่งใดที่มันพูดมา จิตมันรู้ทันแล้วมันจะตอบทันทีเลย

หลวงตา เวลาท่านฟังปัญหานะ คนถามปัญหาพอพูดคำแรกนะ มันรู้แล้ว จิตนี้รู้แล้ว อยากจะตอบแล้ว แต่ไอ้คนถามมามันยังพูดไม่จบเลย ไอ้คนจะตอบ จะตอบแล้วนะเพราะมันรู้แล้วไง เพราะอะไร เพราะจิตเราเคยเป็นใช่ไหม พอพูดถึงคำแรกมันจะรู้เลยว่า  คำพูดนี้จะพูดเรื่องอะไร จะพูดเรื่องอะไรปั๊บ ถ้าพูดอะไร นั่นขั้นของสมาธิ ขั้นของโสดาปัตติมรรค ขั้นของสกิทาคามรรค ขั้นของอนาคามรรค ขั้นของอรหัตตมรรค พูดก็รู้ คนพูดแค่นี้รู้เลย

เหมือนหมอเลย หมอนี้ดูคนไข้ เห็นคนไข้เดินเข้ามาเห็นไหม จะรู้เลยคนไข้นี้เป็นอะไร เพราะการเดินเข้ามา กิริยามันบอกเลย เพราะอะไรอวัยวะสิ่งใดมันชำรุดเสียหายมันจะส่อถึงกิริยาท่าทางอันนั้นเลย ไอ้คำพูดนี้มันพูดอย่างนั้นเลย นี่คำว่าพุทธพจน์ๆ ไง

ฉะนั้น คำว่าพุทโธ พุทโธ เป็นศัพท์ พุทโธเห็นไหม เวลาเขาพูดเห็นไหม เมื่อวานเขามาถาม เขาบอกพุทโธนี่ก็ผิด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้นึกพุทโธ เขาบอกพระพุทธเจ้าทำอานาปานสติ พระพุทธเจ้าไม่ได้นึกพุทโธแล้วเอาพุทโธมาจากไหน เขามาเถียง โอ้โฮ.. เวร..ใช่ พระพุทธเจ้าท่านทำอานาปานสติ เพราะตอนนั้นพุทโธยังไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว พุทธะคือพระพุทธเจ้า พุทโธคือพระพุทธเจ้า แต่ ตัวเองยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าจะเอาพุทโธมาจากไหน  มันก็นึกถึงอานาปานสติไง แต่เวลาท่านสำเร็จแล้วเห็นไหม ท่านบอกว่า พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ฉะนั้น ตอนนั้นนะ ก็พุทโธก็อยู่ในใจพระพุทธเจ้านั่นแหละ แต่พระพุทธเจ้ายังไม่บรรลุธรรม พุทโธมันก็โดนกลบไว้ด้วยกิเลส เมื่อโดนกลบไว้ด้วยกิเลสตัวเองยังไม่มีความสามารถยังไม่รู้ความจริงขึ้นมาเราก็พยายามหาทางเข้าอยู่ใช่ไหม มันก็ไปอานาปานสติเพราะคิดถึงตอนตั้งแต่โคนต้นหว้า มันก็ไม่ผิด

แต่เขาจะเอาทางโลก ทางวิจัยไง ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธก็พุทโธไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธเพราะตอนนั้นพระพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ  เพราะพุทโธมันยังไม่มี  แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าถึงวางให้กำหนดพุทโธ  เขาพูดอย่างนี้เลยนะ  เขาบอกว่า พุทโธก็ผิด เพราะพุทโธนี้ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดพุทโธแต่พระพุทธเจ้าคือคนสอนพุทโธ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดแต่พระพุทธเจ้าสอน

เหมือนเราทำงานครั้งแรกก็ทำงานยังไม่เป็นใช่ไหม  พอเราทำเป็นแล้วอะไรมันก็ชำนาญ  มันคล่องตัว  เราทำอย่างนั้นเรามาแล้วสอนคนอื่นมันจะผิดตรงไหน  พอเราทำงานทีแรกเกือบเป็นเกือบตายเราทุกข์ยากเหมือน  เราพูดบ่อย  เหมือนบรรพบุรษเรา มาจากเมืองจีน เสื่อผืนหมอนใบ เสื่อผืนหมอนใบเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีเมืองไทยเยอะแยะเลย  แล้วเอ็งต้องกลับไปเสื่อผืนหมอนใบอย่างนั้นอีกไหม ต่อไปนี้ทุกคนห้ามทำมาหากิน เอ็งต้องกลับไปที่เมืองจีนก่อน แล้วนั่งเรือสำเภาเข้ามา แล้วก็เอาเสื่อมาใบหนึ่งเอาหมอนมาใบหนึ่ง แล้วเอ็งจะเป็นเศรษฐีเมืองไทย เอางั้นหรือ

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธมันไม่มีไง พุทโธไม่มี พระพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ  ไม่มีพุทโธ แล้วนี่ ของเรานี่นะ เศรษฐีเมืองไทย เสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนทั้งนั้นเลย อยากจะเป็นเศรษฐีเมืองไทยก็กลับไปซัวเถาก่อน ไปนั่งเรือสำเภามา แล้วก็ไปเอาเสื่อมาผืนเอาหมอนมาใบหนึ่งแล้วมาทำมาหากิน  แล้วมึงจะเป็นเศรษฐี นี่มันก็เหมือนกันพอเขาบอกว่าพุทโธก็ผิดนะ เราฟังแล้วก็โอ้.. คนมันคิดได้อย่างนี้ ฉะนั้น ถ้าพุทโธนะ มันพุทโธแล้วพอเดี๋ยวมันดีเดี๋ยวมันไม่ดี มันไม่ใช่อยู่ที่พุทโธ หลวงตาพูดอย่างนี้นะ หลวงตาบอกว่า เวลาปฏิบัติธรรม พวกเราบอกว่า ธรรมะทำยาก ทุกอย่างทำยากหมดเลย แต่หลวงตาบอกไม่ใช่ กิเลสเราต่างหากพายาก พุทโธนี้สะอาดบริสุทธิ์ พุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันสะอาดบริสุทธิ์ แต่ใจของเรา มันเป็นกิเลสมันเหยียบย่ำอยู่

ฉะนั้นเราก็ต้องแต่ชื่อก่อน เอาชื่อก่อน พุทโธๆๆคำบริกรรมก่อน พอคำบริกรรมพุทโธๆจนพุทโธกับจิตเป็นอันเดียวกันนะ พุทโธๆๆๆไปเรื่อยๆนี่นะ จนชำนาญนะมีสติมากๆขึ้น มันจะสั้นเข้ามาเรื่อยๆ บางทีพุทโธแล้วหายไปปั๊บเลย พุทโธๆไม่อยู่ พุทโธแล้วมันจะแลบออกไปโง้นงี้ พุทโธไปเรื่อย พุทโธไปเรื่อย พุทโธๆๆๆๆๆ  จน  “เอ๊อะ”  พุทโธไม่ได้เลยนะ ถ้าจิตกับพุทโธเป็นเนื้อเดียวกัน  พุทโธไม่ออก

เราจะบอกเห็นไหม พุทโธนี่เรานึกขึ้นมา แต่พอพุทโธกับจิตเป็นเนื้อเดียวกันเห็นไหม ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจเกิดขึ้นแล้ว ตัวพุทโธจริงๆตัวที่ใจที่เป็นพุทโธ เป็นพุทโธ หลวงตาจะบอกว่าพุทโธๆจนพุทโธไม่ได้ พยายามนึกพุทโธก็นึกไม่ออก เพราะจิตมันอาศัยคำบริกรรม  จนคำบริกรรมกับจิตนี้เป็นเนื้อเดียวกัน  พอจิตเป็นเนื้อเดียวกัน นี่ อัปปนาสมาธิ แต่พุทโธๆมันยังแลบอยู่นะ มันขณิกะได้ มันสงบชั่วคราวมันยังคิดได้อยู่  ขณิกสมาธิคือสบายๆ  อุปจารสมาธิจิตมันสงบแล้ว พอจิตสงบพุทโธมันสงบแล้วแต่มันยังรู้ได้  รู้ได้มันออกรู้ออกวิปัสสนา  แต่พุทโธๆๆจนจิตกับพุทโธเป็นเนื้อเดียวกันเลย เป็นเนื้อเดียวกัน นึกพุทโธไม่ออกนะ “เอ๊อะ อ๊ะ” แต่กูเป็นพุทโธนะ แต่กูนึกพุทโธไม่ได้นะ นี่คือตัวพุทโธจริงๆ แล้วพุทโธจริงๆแล้ว อย่างนี้ออกใช้ปัญญาไม่ได้ เพราะคิดดูสิ  มันยังนึกพุทโธไม่ได้ มันยังทำงานไม่ได้ แล้วมันจะไปใช้ปัญญาได้อย่างไร มันใช้ปัญญาไม่ได้ แต่มันเป็นตัวฐานของสมถะเลย ตัวฐานของสมาธิเลย

ถ้าตัวฐานของสมาธิเป็นอย่างนี้เห็นไหม  นี่เกิดจากอะไร  ก็เกิดจากพุทโธนั่นแหละ พุทโธนี้เป็นสมมติเป็นวิตกวิจารณ์เป็นนึกขึ้นมา พุทโธคือวิตกขึ้นมา พุทโธๆๆ แต่พอพุทโธกับจิตเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว  มันเป็นเนื้อของสมาธิเลย  ตัวสมาธิเป็นอย่างนี้ พอสมาธิเป็นอย่างนี้ปั๊บ พอเข้าไปถึงสมาธินะ  โอ้โฮ.. ก็เหมือนเรา เรามีความฟุ้งซ่าน เรามีความทุกข์ยากตลอดเวลา สุดท้ายแล้วเราพัฒนาเราอาบน้ำอาบท่า จนสะอาดสะดวกสบายจนแจ่มใสหมดเลย แล้วทำอะไรต่อไปล่ะ เพราะปล่อยไว้มันก็ กลับไปสกปรกอีก  เพราะเหงื่อไคลมันจะไหลออกมา

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบเต็มที่แล้ว ทำอะไรต่อไปล่ะ เห็นไหม หลวงตาบอกว่าขั้นของสมาธิ น้ำล้นฝั่ง สมาธิได้แค่นี้ สมาธิถึงที่สุด อัปปนาสมาธิมันก็จบแค่นี้  ไปอีกไม่ได้แล้ว  ฐานของสมาธิเต็มที่ของสมาธิมีแค่นี้ แล้วก็เสื่อมลง แล้วก็พุทโธเข้ามาใหม่ก็เป็นสมาธิอีก แล้วก็เสื่อมลง สมาธิมีแค่นี้

แล้วพอมีแค่นี้แล้วจะทำไงต่อไป พอต่อไป ออกรู้  ออกค้นคว้าออกวิปัสสนาเห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ ที่บอกว่า สติปัฏฐานที่ทำกันอยู่ในเมืองไทยนี้  ไม่มี  สติปัฏฐาน ๔ โกหก สติปัฏฐาน ๔ มีจริงต้องจิตสงบก่อน จิตนี้พอมันเป็นตัวจิต ตัวที่ว่าฐานของสมาธิมีแค่นี้ แล้วตัวสมาธินี้ออกรู้ ออกรู้  สติปัฏฐาน ๔ เกิดตรงนี้ เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะว่ามันมีผู้รู้ มีตัวจิต เพราะธรรมะพระพุทธเจ้านี้สอนจิตที่มันมีกิเลส สอนสัจจะความจริง สอนการชำระกิเลส สอนให้จิตนี้พ้นจากกิเลส ไม่ได้สอนกระดาษ ถ้าพิมพ์หนังสือก็คือกระดาษ ไม่ได้สอนกระดาษ ไม่ได้สอนแผ่นโลหะ ไม่ได้สอนหินแกรนิตที่เขาไปแกะสลักกัน หินแกรนิตไม่มีชีวิต เขาไปแกะพระไตรปิฎกอยู่ในหินแกรนิตเห็นไหม แล้วก็ไปวางไปเผยแผ่กัน หินแกรนิต ภูเขาทั้งลูกเลยนะเว้ย

พระพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ พระพุทธเจ้าปรารถนาสอนที่จิต สอนที่สัตว์โลก สอนที่ผู้ข้องฉะนั้นพอจิตมันสงบ จิตมันออกรู้ พอจิตออกรู้ จิตออกรู้ตัวสติปัฏฐาน ๔  สติปัฏฐาน ๔ ที่เขียนๆกันอยู่นั่นมันเป็นตัวอักษร ไม่มีตัวจริง เป็นชื่อ นาย ก.  ทะเบียนบ้านเขียนนาย ก. แต่นาย ก. นั่งอยู่นี่ ทะเบียนบ้านอยู่ที่กรมการปกครอง แต่นาย ก. นั่งโม้อยู่นี่ ต้องจับนาย ก. นี่ฆ่า ไม่ใช่ไปฆ่าที่กรมการปกครอง ไอ้ ก.นี้ตายแล้วเดี๋ยวเขาจำหน่ายที่กรมการปกครองเอง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันออกรู้เห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ เกิดตรงนี้ สติปัฏฐาน ๔ เกิดเมื่อจิตสงบแล้วจิตออกรู้ จิตออกวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนา นั่น สติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในกาย จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ เกิดตรงนี้ ไอ้ที่ว่า สติปัฏฐาน ๔ นั้นมันขี้โม้ แต่.. แต่ก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะเป็นการฝึกหัด ถ้าไม่มีการฝึกหัดนะ เราจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาไม่ได้ การฝึกหัด

จะบอกว่าผิด  ผิดทั้งนั้นล่ะ  ถ้าจะถูก ก็ถูกคือโสดาบันถึงจะถูก เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา เป็นอนาคา เป็นพระอรหันต์ นั่นถูก ถูกเพราะปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันถูก แต่ในการปฏิบัติอยู่นี้ มันก็ผิดๆ ถูกๆ ไปอยู่อย่างนี้เพราะมันอยู่ในขั้นของการปฏิบัติ ไม่มีถูกหรอก ไม่มีถูกหมดหรอก อย่างเช่นว่า พุทโธๆแล้วสบายๆ แล้วสบายๆเดี๋ยวก็เสื่อม สบายแล้วได้อะไร กินข้าวแล้วก็อิ่ม เดี๋ยวก็หิว

ถ้าวันนี้มันสบายใจเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ทุกข์ใจ อะไรมันจะคงที่ล่ะ เห็นไหม ในขั้นของการปฏิบัติ มันก็เป็นความจริงอย่างนี้แหละ ถึงบอกว่ามันก็เกิดจากสมมตินี้แหละ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม การประพฤติปฏิบัติเราก็เกิดจากจิตอันสกปรกเรานี้แหละ จิตพวกเรานี้สกปรกกันทั้งนั้น จะมั่งศรีสุข ผู้ดีขนาดไหนนะ อวิชชาเต็มหัวใจทั้งนั้น ในจิตของเรามีอวิชชา มันมีตัณหาความทะยานอยาก  มันสกปรกทั้งนั้น แล้วเราไปปฏิบัติของเราขึ้นมา เราฝึกของเราขึ้นมาเห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

อริยภูมิมันเกิดขึ้นมาจากความโสมมของจิตเรานี่แหละ  จิตเราโสมมจริงๆ ถ้าผู้ปฏิบัติขึ้นไปนะ แหม.. มึงคิดได้ขนาดนี้เชียวหรือ เวลามันจิตมันขึ้นมานะ  มึงทำไม ประสาเรานะ ทำไมมึงเลวได้ขนาดนี้ เราไปปฏิบัติมานะเราอยู่กับครูบาอาจารย์มา  เราจะไปปรึกษากับครูบาอาจารย์ เวลาผมปฏิบัติผมเพ่งโทษผมนะ ผมอัดผมอย่างนี้ ไปถามหลวงปู่เจี๊ยะ เออ.. กูก็ทำอย่างนี้ ไปถามครูบาอาจารย์ เออ.. เราก็ทำอย่างนี้ แต่ท่านไม่พูดออกมานะ  ถ้าพูดออกมาถึงการปฏิบัติในการต่อสู้กับตัวเองนะ  โลกนี้เขาจะบอกว่า พระองค์นี้ ลามกจกเปรตเลยล่ะ แต่ไม่รู้หรอกว่า  กูจะเอาความลามกจกเปรตนี้ไปข่มขี่ไอ้กิเลสของกูต่างหากล่ะ คิดถึงความชั่วของของตัวเอง ค้นคว้าความชั่วของตัวเอง แล้วเวลามันสำรอกมันคายออก ถึงได้รู้ โอ้โฮ.. โอ้โฮ.. นะ

ฉะนั้นเวลาปฏิบัติไป ทุกคนครูบาอาจารย์จะบอกว่าทำไมมึงชั่วขนาดนี้ ทำไมมึงชั่วขนาดนี้ ด่าแต่ตัวเองนะค้นคว้าแต่ตัวเองเข้าไป  แล้วมันจะเห็น แล้วคนจะค้นคว้าตัวเอง คนว่าตัวเองผิดพลาดมีกี่คนบ้าง ก็มีแต่คนดีทั้งนั้น ทุกคนว่าตัวเองดีทั้งนั้น เพราะจิตมันไม่สงบเราดีทั้งนั้น ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ ทำไมมึงเลวขนาดนี้ ทำไมมึงเลวขนาดนี้ พอเห็นความเลวของเรา แล้วมันเลวมันเกิดจากอะไร ความเลวนี้เกิดจากอะไร ความเลวไม่ใช่ว่าเลวจะจี้ปล้นเขานะ เลวคือว่า มึงนอนใจ มึงขี้เกียจขี้คร้าน มึงมันมัวแต่แบบว่ามันแต่อยู่ในมูตรในคูถนั่น คือความคิดของเรามันมีตัณหา มันมีสิ่งแอบแฝงมา มันรู้มันเห็นนะ พอมันรู้มันเห็นขึ้นมา ไม่ใช่พูดกันพล่อยๆ ไอ้พูดลอยๆ

ไอ้พูดอย่างนั้น มันเหมือนหนังวิทยาศาสตร์ เราดูหนังวิทยาศาสตร์สิ เราก็เห็นหมดล่ะ ยิ่งตอนนี้เห็นไหมอวตารกำลังฉาย กำลังมันเลย ฉะนั้น ไอ้นั่นมันหนังวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่ความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ เราจะบอกเลยว่ามาตรฐานมีมาตรฐานเดียว แล้วถ้ามาตรฐานนั้นมันรู้นะ เวลาพูดนี่  มาตรฐานเวลาพูดมันพูดถึงหนังอวตารหรือพูดถึงอริยสัจ ถ้าพูดถึงอริยสัจมันจะเห็นจากข้างในนะ แล้วพูดจากเห็นข้างในไม่เหมือนพูดเห็นข้างนอก ถ้าพูดเห็นเนื้อในมันคิดมาจากข้างใน  แต่ถ้าพูดมาจากข้างนอกมันจะเทียบอวตารเลยเพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่มีต้นแบบ เพราะอวตารมันเป็นอย่างนั้นเว้ย  เหะๆ  ก็ไม่เคยดูเหมือนกันยกตัวอย่างก็ยกไม่ถูกว่ะ  ว่าอวตารมันเป็นยังไง มันยกตัวอย่างไม่ถูก เราจะบอกว่า หนังอวตาร เราไปเห็นมา เห็นมามันก็มีสัญญาไง มีความจำ พอมีความจำนะ ตัวเองช่วยตัวเองไม่ได้ ตัวเองไม่มีหลักความจริง เวลาอ้างอิงก็อ้างอิงอวตารไง อวตารเป็นอย่างนั้นโว้ย อวตารเป็นอย่างนั้นเพราะมันมีต้นแบบเพราะเราเห็นภาพได้

ไอ้การปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติได้จริงนะเราไม่ต้องอ้างอวตาร อ้างประสบการณ์สันทิฏฐิโกความจริง จิตที่เป็นจริงมันปัจจัตตัง มันมีการสัมผัสมันมีการถอดถอนมันมีการกระทำ ถ้ามีการกระทำอันนี้  ขั้นสมถะนี้จิตมันแค่พักตัว การทำสมถะ ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา มันขั้นของทุน ถ้าคนทำงานทำธุรกิจไม่มีทุนทำงานไม่ได้ ถ้าคนจะวิปัสสนาไม่มีจิตไม่มีทุนไม่มีสิทธิ์ แล้วทุนคือจิตสงบ ถ้าจิตยังไม่สงบ ไม่มีทุน ต้องกู้หนี้ยืมสินใช้ตลอด กู้หนี้ยืมสินจากอะไร จากภวาสวะจากภพจากความคิดเราไง  จากอวิชชาไง จากภพเห็นไหม จากภพมันมีอยู่เห็นไหม จากภพคือจากมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีปฏิสนธิจิต พอเกิดมาเป็นมนุษย์มีพลังงาน  ธาตุไฟ ธาตุ ๔ พอมีพลังงานอยู่ ทุกสิ่งเกิดจากพลังงานอันนี้ นี่ไง กู้หนี้ยืมสินหมดเลย

แต่ถ้าจิตสงบขึ้นมาเห็นไหม มันชำระพลังงานอันนี้ไง ถ้ามันชำระพลังงานอันนี้มันเป็นอิสรภาพไง พอเป็นอิสรภาพไอ้ตัวนี้ที่ออกทำงานไง  นี่ขั้นของสมถะไง สมถะถึงเป็นทุนไง สมถะถึงมีความจำเป็นไง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาเป็นปัญญาของกิเลสหมด แต่ถ้ามีสมาธิขึ้นมา สมาธินี้เป็นตัวฐาน แล้วสมาธิเป็นยังไง สมาธิเป็นยังไงบอกมา “สมาธิก็ว่างๆ สว่างไสว” โห ถ้าอย่างนั้นพระอาทิตย์กูเป็นสมาธิตลอดเลย พระอาทิตย์กูแม่งสว่างทั้งปีทั้งชาติ พูดพล่อยๆ มันไม่มีมาตรฐานไง เราถึงบอกมาตรฐานมันมีมาตรฐานเดียว มาตรฐานคืออริยสัจ แล้วไม่ใช่ว่าอย่างว่าไม่มีความรู้นะ ศึกษาพระพุทธเจ้ายังไม่พอนะจะศึกษาของพระศรีอาริยเมตไตรยมาเทียบกัน เพราะความรู้ไม่พอ ความรู้ของพระพุทธเจ้ายังไม่พอ ต้องเอาความรู้ของพระศรีอาริยเมตไตรยมาด้วย

แต่ถ้าเป็นย้อนเข้ามานะ เพราะอะไร พระพุทธเจ้าสอนมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สอนมา สอนมาเพื่อให้ตรงกับจริตตรงกับนิสัย เพราะมีพระจำนวนมากไปถามพระพุทธเจ้า เห็นไหม  ธรรมวินัยมันฟั่นเฟือนมาก  ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติมันรู้รอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า ศีลหนึ่ง รักษาได้ไหม..ได้ รักษาใจ...จบ รักษาใจตัวเดียว ศีลหนึ่งคือรักษาใจ ถ้ารักษาใจได้นะ อันนั้นมันกิริยาที่การกระทำ ถ้ารักษาใจได้ ใจไม่มีอกุศล ใจไม่มีเจตนาทำความผิด  ไม่มีผิดเลย รักษาใจตัวให้ได้

ทีนี้รักษาใจเรา  เรารักษาไม่ได้นี่ เพราะใจตัวนี้ยังกะลิง พอจะเข้ามามันก็แลบแล้ว แลบแล้ว นี้พอแลบแล้ว มันก็มีข้อวัตรนั่น มีสิ่งที่ออกไป สิ่งที่ ๒๔,๐๐๐ ข้อเฉพาะศีล ศีล ๒๔,๐๐๐ สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก ก็ว่ากันไป สามตะกร้า นั่นเป็นคำกิริยาออกมาจากจิต แล้วถ้าเรารู้จริงจากจิตเข้าไปแล้วนะ คำว่ามาตรฐานอันนี้ หนึ่งเดียวนั่นนะ จิตนี้หนึ่ง ไอ้ดวงๆๆนั่น มันเป็นอาการ เวลาอยู่ที่บันไดนั่นก็เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง พ้นจากบันไดขึ้นมาจนถึงประตูศาลาก็เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง เข้ามานั่งอยู่นี่ก็เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง แล้วมันกี่ดวงนั่นน่ะ มันก็ไอ้คนๆนั้นเดินขึ้นมา ไอ้คนนั้นเดินบันไดมา ไอ้ ก.นี้อยู่ที่บันได พอมันมาอยู่ที่ปากประตูนะก็ ไอ้ ก. อยู่ที่ปากประตู ไอ้ ก. มานั่งนี้ ไอ้ ก. อยู่ตรงนั้นนั่น แต่บอกว่า ดวงที่บันได ดวงนึง ดวงที่ประตู ดวงนึง ดวงที่นั่งตรงนี้อีกดวงนึง มึงมีกี่ดวงล่ะ

อาการของใจมันร้อยแปด แต่ถ้าจิตหนึ่ง จิตหนึ่งตัวนี้ถ้ารักษาได้ ถ้าทำสมาธิได้ ไอ้จิตหนึ่งนี้มันจะไม่ปฏิเสธ ไอ้คนที่ยังไม่รู้จิตหนึ่งๆ มันยังทำสมาธิไม่เป็น สมาธิคือจิตหนึ่ง แล้วพอบอกว่าจิตหนึ่งแล้วจิตออกทำงาน เวลาจิตออกใช้ปัญญามันใช้ปัญญายังไง นี่ไงถึงบอกว่ามาตรฐานมีมาตรฐานเดียว แล้วมาตรฐานนี้มันฟังออก มันฟังได้ คนพูดออกมานี่จะรู้ทันทีเลย ไอ้นี่ไม่เคยดูหนังอวตาร แต่อยากจะโม้ แต่คนถ้ากูดูมาแล้วนะ กูดูอวตารมาสิบรอบแล้วนะเว้ย กูรู้หมดมันขึ้นยังไงมันจบยังไงอวตารน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันทำขบวนการของจิตจบแล้วนะ มันรู้ได้จนจบไง ถ้ามันไม่เคยดูหนังอวตารมาเลย ฟังแต่เขาเล่าไง โอ๊ย.. หนังดีนะมึง โอ๋ย ..ได้เงินเยอะ  มันบอกว่ามันสองมาตรฐานสามมาตรฐานไป สองมาตรฐานสามมาตรฐานมันอยู่ที่ตรงนี้ไง มันอยู่ที่ตรงว่าความรู้อันนี้

แต่ถ้าความรู้เป็นความจริงนะ  อริยสัจเป็นความจริง ยิ่งหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นออกมา คิดดูสิที่ว่าทำมาตรฐานใช่ไหม เพราะหลวงปู่เสาร์ท่านสร้างบารมีมาน้อยกว่าหลวงปู่มั่น เพราะสร้างมาเป็นพระปัจเจกฯ หลวงปู่มั่นสร้างบารมีมาเป็นพุทธภูมิ ใช่ไหม ทั้งๆที่หลวงปู่เสาร์นี้เป็นอาจารย์ แต่เวลาจิตที่มันพัฒนาของมันไปแล้วเห็นไหม กลับไปสอนหลวงปู่เสาร์ เราไปถามหลวงปู่เจี๊ยะเลยล่ะ เพราะเราไปอ่านประวัติ เพราะว่าเราเกิดไม่ทัน พวกนี้เกิดไม่ทันหมด ที่โม้อยู่นี่เกิดไม่ทันนะ แต่พูดด้วยความศรัทธา พูดด้วยความเคารพ เคารพเพราะอะไร เพราะท่านบุกบั่น ท่านสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นตัวอย่างของเราให้เราเอาท่านเป็นที่ระลึก แล้วให้เรามีคติธรรม ให้เรามีความมุมานะ ให้เรามีความตั้งใจ เพราะเรามีตัวอย่าง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เราจะเอาใครเป็นแบบอย่าง

ฉะนั้นเวลาไปอ่านประวัติของหลวงปู่เสาร์ อ่านประวัติของหลวงปู่มั่น แล้วเวลามาอยู่กับหลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ ถามหลวงปู่เจี๊ยะ บอกว่า ประวัติหลวงปู่เสาร์ ที่อยู่ในประวัติของหลวงปู่อ่อนหรือไงจำไม่ได้ อยู่ในหนังสือเล่มไหนจำไม่ได้ บอกว่า หลวงปู่เสาร์ เวลาท่านจะเดินจงกรม ท่านจะปักเสาไว้แล้วก็ขึงสายสิญจน์ แล้วก็สวดมนต์ภาวนาไง ขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ ขอเอา มันเป็นประเพณีของชาวอุบล ชาวอุบลเวลาเขาจะปฏิบัติ เขาจะนั่งสวดมนต์ก่อนไง อธิษฐานเอาไง

แล้วหลวงปู่มั่นไปแก้หลวงปู่เสาร์ แก้เรื่องนี้ แก้บอกว่าเวลาภาวนาให้ภาวนาเลย ไม่ต้องมาขึงสายสิญจน์  เราเดินจงกรม เดี๋ยวนี้เดินจงกรมต้องเอาใหม่นะ ใครเดินจงกรมต้องเอาไปปักเสาก่อน เอาสายสิญจน์ไปขึงให้ก่อนนะ ขึงเสร็จแล้วค่อยเดินจงกรม นี่เราไม่ได้ทำเห็นไหม เพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติท่านได้ผลของท่านมาแล้วท่านไม่ทำตรงนี้ แต่หลวงปู่เสาร์ท่านยังทำอยู่เพราะว่าท่านมาจากอุบลใช่ไหม แล้วมันเป็นประเพณีของชาวอุบล เพราะในประวัติอาจารย์ชาท่านเคยพูดเรื่องนี้ว่าชาวอุบลเขาทำกันอย่างนี้

หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นก็คนอุบลเหมือนกัน มันก็ได้รากเหง้าและวัฒนธรรมมา เวลาประพฤติปฏิบัติเวลามาภาวนาก็จะขอสถิต แล้วหลวงปู่มั่นก็ไปแก้ แล้วในหนังสือบอกว่า เถียงกันอยู่ แก้อยู่ ๓ ปี สามปี ให้หลวงปู่เสาร์ละตรงนี้ได้ ๓ ปี ว่า สวดมนต์ สวดมนต์ภาวนา จะก่อนภาวนา ไปพูดด้วยเหตุด้วยผลกัน ๓ ปี จนหลวงปู่เสาร์ท่านวางได้ วางว่าไม่ต้องสวดมนต์ก่อนให้ภาวนาเลย ถึงเวลาให้เดินจงกรมเลย สามปีนะ นี่พูดถึงข้างนอกนะ

แล้วข้างในล่ะ ข้างในใจล่ะ นี่ หลวงปู่มั่นท่านไปแก้หลวงปู่เสาร์ เวลาหลวงปู่มั่นเวลาที่ยังเป็นพระเด็กเณรน้อยอยู่เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ไปเอาหลวงปู่มั่นมาบวช แล้วหลวงปู่มั่นภาวนาไปแล้วจิตมันออกรู้ต่างๆตอนนั้นยังไม่ได้อะไรนะ แต่มันออกรู้นิมิต แล้วไปถามหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์บอกว่า ฮึ แก้ไม่ได้  ต้องแก้ตัวเอง เพราะหลวงปู่เสาร์พอฟังว่าหลวงปู่มั่นจิตสงบแล้วไปรู้ไปเห็นอะไรขึ้นมา ตอนนั้นรู้เห็น มันรู้ส่งออกนะ แล้วสุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นมาสละพุทธภูมิก่อน พอสละพุทธภูมิแล้ว มาถ้ำสาริกา มาได้หลักที่ถ้ำสาริกา ถ้ำสาริกามาได้สองขั้นสามขั้น แล้วกลับไปอีสานนะ ยังไม่จบ ขึ้นไปเชียงใหม่

นี่มันมีฐานของมัน  แล้วฐานหมายถึงว่าหลวงปู่เสาร์เป็นอาจารย์ หลวงปู่มั่นเป็นลูกศิษย์ พอหลวงปู่มั่นปฏิบัติไปแล้วมันความรู้ มันทะลุผ่านไปก่อน พอผ่านไปก่อน กลับไปสอนหลวงปู่เสาร์ พอกลับไปสอนหลวงปู่เสาร์เสร็จตัวเองยังไม่จบนะ ยังไม่จบขบวนการ นี่มาตรฐานนะ ตัวเองยังไม่จบยังไม่เป็นพระอรหันต์ไง ออกจากถ้ำสาริกาไปนี่เป็นอนาคาแล้ว ไปถึงไปอีสานไปสอนหมู่คณะเห็นไหมแล้วยังไม่จบมันสอนถึงสุดไม่ได้ เพราะอย่างเรา อย่างเรามีการศึกษาระดับหนึ่ง การศึกษาที่ยังไม่พ้นจบขบวนการศึกษา สิ่งที่เราไม่รู้ยังมีอยู่ นี่การปฏิบัติไปศึกษาตัวเองศึกษาจิต ถ้าจิตยังไม่ถึงที่สุด  นี่ มาตรฐาน พอถึงกลับไปเชียงใหม่ บอกหมู่คณะบอกกำลังยังไม่พอ ทิ้งเลย ทิ้งหมู่คณะขึ้นไปเชียงใหม่เลย พอขึ้นไปเชียงใหม่ ไปสำเร็จที่เชียงใหม่กลับมาเห็นไหม กลับมาป่าโนนวิเวกกลับไป ไม่เคยบอกว่ากำลังไม่พอเลยสอนได้หมดเลย  เอาหมด เอาได้หมดเลย เพราะตัวเองทะลุผ่านหมดแล้วเอาใครก็ได้ แต่ถ้าตัวเองยังไม่ทะลุไม่ได้ผ่าน จะเอามาตรฐานอะไรมาสอน สามมาตรฐาน สี่มาตรฐาน อะไรก็ได้ มั่วไปหมดเลย แล้วมาตรฐานจริงไม่มี

ถ้ามาตรฐานจริงมีนะ พื้นฐานมันมี พื้นฐานความสงบของจิตมันเป็นยังไง โอ้..จิตสงบสว่างไปหมดเลย แล้วคนที่ไม่สว่างล่ะ เพราะจิตบางคนสงบแล้วไม่สว่างก็มี สว่างก็มี จิตสงบเฉยๆก็มี  ความสงบมันหลากหลายนัก เป็นอจินไตยเลยล่ะ เพราะอจินไตย ๔ พอเป็นสมาธิสว่างหมดเลย อย่างนั้นกูกราบพระอาทิตย์เลย พระอาทิตย์แม่งไม่เคยดับเลยสว่างอยู่อย่างนั้น พระอาทิตย์มีชีวิตไหม ในเมื่อจิตมันสงบมันแตกต่าง โธ่ คนภาวนาถ้าจิตสงบมันจะรู้นะ ว่าความสงบของมันทำยังไง แล้วสงบแล้ว คนที่สงบแตกต่างหลากหลายมันเป็นอย่างใด

ความสงบมีแตกต่างหลากหลาย คำว่าแตกต่างหลากหลายคือแตกต่างหลากหลายเข้ามานะ แต่พอสงบแล้วอันเดียวกัน อันเดียวกัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาเป็นยังไง ขณิกะเป็นยังไง อุปจาระเป็นยังไง แล้วเวลาคนที่ปฏิบัติมาถามอาจารย์ว่า จิตเป็นอย่างนี้ๆ มันบอกแล้วนะอยู่ขั้นไหน แล้วถ้าคนฟังมันฟังไม่รู้ มันจะรู้ได้ยังไง คำว่า ขณิกะ มันวิปัสสนายังไม่ได้  แต่ถ้าคนมาบอกกัน ๆ จิตสงบอย่างนี้ๆ ถ้าอาจารย์ไม่รู้นะ โอ้โฮ.. ใช้ปัญญาไปเลย ใช้ปัญญาเลย วิปัสสนาไปเลย โทษนะ ฉิบหาย! ฉิบหายอะไร ฉิบหายตรงที่สมาธิมันจะเสื่อมหมดไง รากฐานนี้โดนทำลายหมดเลย เพราะอะไร เพราะกำลังไม่พอ

เหมือนเด็ก เด็กมันบอกเลย เอาปืนเลย ยิงผู้ใหญ่เลย ยิงเลยๆ เด็กมันถือปืนไม่ไหว มือมันสั่น มันยิงตัวมัน ขณิกสมาธิกำลังไม่พอ ยังวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าวิปัสสนาไม่ได้ เหมือนเด็กถือปืน ปืนมันหนักกว่าเด็ก ปืนมันเป็นเหล็กนะ เด็กมันจะยกอะไรไหว ยกขึ้นมา ปืนก็ตกแล้ว ขณิกสมาธินี้วิปัสสนาไม่ได้ เพราะกำลังมันไม่มี แล้วอุปจาระขนาดไหน ฟังก็รู้ เราจะบอกใครมาบอกทำสมาธิไปก่อน พุทโธไป พุทโธไป พุทโธไปเพราะอะไรรู้ไหม เพราะมือมึงยังไม่แข็ง กำลังมึงไม่มีมึงยกปืนไม่ได้

ถ้ามึงทำไปเรื่อยๆ กำลังมันเข้มแข็งขึ้นมา  กล้ามเนื้อมึงมีขึ้นมานะ เดี๋ยวปืนมึงควงได้เลย แต่ทีแรกปืนยกไม่ไหวเลยเพราะปืนมันเป็นเหล็ก เด็กๆยกปืนไม่ขึ้น แต่คาวบอย ปืนนี้มันควงเล่นเลย ถ้าจิตมันมีกำลังขึ้นมาเห็นไหม อุปจารสมาธิ  อัปปนาสมาธิ นี่ไง พุทโธๆๆเพราะเหตุใดล่ะ พุทโธก็เพราะเอาให้พวกมึงให้มีกล้ามเนื้อขึ้นมา ให้พวกมึงแข็งแรงขึ้นมา แล้วเดี๋ยวยิงมัน ยิงมัน ยิงมัน แต่ไม่มีอะไรกันเลย มั่วซั่วกันไปหมดเลย  แล้วมาตรฐานของใคร?  มาตรฐานของใคร?  เราถึงบอกว่ามาตรฐานในการปฏิบัติมันมีหนึ่งเดียว ไม่มีหรอก สอง สาม สี่ ไม่มี  แต่  วิธีการหลากหลายเยอะอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้เยอะ เรื่องการทำสมาธินี้ร้อยแปดได้ทั้งนั้น อะไรก็ได้

อย่างเช่นหลวงปู่เจี๊ยะเห็นไหม มีพระองค์หนึ่ง เป็น ๙ ประโยค แล้วไปบอกว่าหลวงปู่ลีวัดอโศการาม พุทโธๆ โง่ฉิบหายเลย สอนอะไรโง่ๆ ทีนี้ หลวงปู่ลีวัดอโศการาม นี้หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเอง แล้วท่านก็รู้จักพวกมหา ๙ ประโยคนี้ดี สุดท้ายวันหนึ่งท่านก็ให้ลูกศิษย์ ต้มน้ำร้อนต้มน้ำชา แล้วท่านมาก็นิมนต์ท่านนั่ง แล้วก็ฉันน้ำชากัน ปฏิสันถารนะ คุยธรรมะกัน สุดท้ายแล้วท่านจะเข้าละ

“ผมขอถามปัญหาๆหนึ่งนะ คือว่า มีคนโง่มากเลย แต่อยากปฏิบัติ นึกอะไรก็ไม่ออก นึกได้คำเดียวว่า ขี้ ขี้ ขี้ เนี่ย จิตจะสงบได้ไหม”

มหา ๙ ประโยคนั้นบอกว่า “ได้ครับ”

ท่านบอกว่า “ถ้าได้ครับ แล้วพุทโธนี้มันโง่ตรงไหนวะ พุทโธนี้มันโง่ตรงไหนวะ”

ท่านบอก มหาสะอึกเลยนะ มหานี้ไม่รู้ตัวไง เพราะเที่ยวพูดไปเพราะตัวเองเป็น ๙ ประโยค เที่ยวพูดไปว่าหลวงปู่ลีวัดอโศการาม สอนโง่ๆ สอนพุทโธๆ โง่มาก แต่หลวงปู่เจี๊ยะเรานี่ภาวนาเป็น หลวงปู่เจี๊ยะเป็นพระอรหันต์ แต่กิริยาท่าทางของท่านก็เป็นธรรมชาติของท่าน

ทีนี้ท่านจะปลดไง จะปลดไอ้คำจาบจ้วงคำที่เขาโจมตีหลวงปู่ลีอาจารย์ของท่าน  ท่านก็นิมนต์ให้ฉันน้ำร้อนแล้วพูดปฏิสันถารกัน  พูดธรรมะกันไป  พูดธรรมะเพื่อจะให้เขาแบบว่าเปิดกว้างไง แล้วก็ถามขึ้นมาบอกว่า นี่ท่านเล่าให้ฟัง ท่านทำเองแล้วท่านก็เล่าให้เราฟังเอง บอกว่า มีคนอยากปฏิบัติอย่างเช่นเรา อยากปฏิบัติ  แต่โง่ฉิบหายเลยทำอะไรไม่เป็น มันทำอะไรไม่ได้ก็เลยใช้แต่คำบริกรรมคำเดียวว่า ขี้ ขี้ ขี้ ขี้  ท่านก็ถามมหากลับว่า จิตนี้จะสงบได้ไหม มหาบอกได้ครับ ท่านบอกมันตอบว่าได้นะ ถ้ามันตอบว่าไม่ได้นะ ท่านจะมีหมัดสอง หมัดสาม หมัดสี่ ขย้ำเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพวกเรามันแบบว่า เขาเรียกว่าคมในฝัก ถ้ามันไม่จำเป็นไม่พูดหรอก เพราะพูดออกไปโลกเขารู้กับเราไม่ได้ แต่เวลาจะพูดธรรมะกันแล้ว มันมี หนึ่ง สอง สาม สี่ มันขยำได้เลย

ทีนี้บอกว่า  ได้ครับ  มันก็จบใช่ไหม พอได้ครับ  ท่านก็ถามกลับว่า แล้วงี้พุทโธมันโง่ตรงไหนวะ  เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพุทโธนี้ก็ต้องการจิตสงบไง พุทโธเพื่อต้องการให้จิตได้พักผ่อน ให้จิตเราเข้มแข็งขึ้นมา พอจิตมันเข้มแข็งขึ้นมาแล้วจิตจะได้ออกทำงาน เหมือนเรา รักษาลูกหลานเราให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาให้เข้มแข็งขึ้นมามันจะได้เลี้ยงตัวมันเองได้ มันจะได้ศึกษาตัวมันเองได้  แล้วถ้าศึกษาตัวเองแล้วไปอีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี้เราบอกว่า เด็กๆนี้ไม่ต้องทำอะไรกินเลย เกิดมาพ่อจะเลี้ยงจนตาย พ่อตายแล้วพ่อจะเอาวิญญาณตัวเองมาเลี้ยงพวกมึงอีก นี่ก็เหมือนกันไง ไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะเป็นเอง มันเกิดขึ้นมาเอง โอ๋ มันจะสวมใส่หัวเลย ไม่มีทาง มันไม่มี

มันสองมาตรฐาน สามมาตรฐานไปแล้ว มันไม่มีนะ มันมีมาตรฐานเดียว นี่พูดถึงพุทโธนะ ถ้าพุทโธๆ อย่างที่ว่า มันสะดวกสบายบ้าง แต่ถ้ามันไม่สะดวกสบายบ้าง  เพราะเหมือนน้ำ เราต้มน้ำ น้ำเดือด พอเราปิดไฟ พออุณหภูมิมันแตกต่างเห็นไหม มันก็พ้นจากจุดเดือดมันก็เย็นลงเป็นธรรมดา แต่ถ้าเรา เราได้รักษาไฟ น้ำนั้นจะอยู่จุดเดือดตลอดไป จุดเดือดคือสมาธิ อันนี้คำว่าจุดเดือดก็คือ พุทโธๆๆคือไปรักษาใจเรานี่ไง เพราะธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ สมาธิความสะดวกสบายมาจากกำหนดมีสติแล้วกำหนดคำบริกรรม

คำบริกรรมนี้กำหนดไปเถอะ แล้วพวกโยมจะเห็นกันเอง พอจิตลงสมาธิ ลงจิตมันนิ่งขึ้นมานะ บอก อื้อหือๆ  ไม่อย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ของเรา จะไม่กราบพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจหรอก พระพุทธเจ้าพูดอะไรไว้นะ พอทำไปแล้วนะ มันเปี๊ยะๆหมดเลย ครูบาอาจารย์เราทำอะไรไว้นะมันโอ้โฮ.. พอไปเห็นตรงนั้นนะ หลวงตาพูดประจำ ฟังคำพูดของเราไว้นะ ถ้าใครปฏิบัติถึงตรงนี้นะจะมากราบศพ พอเราไปถึงตรงนั้นนะ  มันซึ้งคำพูดนั้นจริงๆ คำพูดที่ท่านพูดไว้ แหม.. มันจะซึ้งมาก มันจะ แหม.. มันจะดูดดื่มมาก แต่ตอนที่มาพูดมันขัดหูฉิบหายเลย ไอ้พวกพุทโธนี้มันโง่ฉิบหายเลยนะ ไอ้พุทโธ มันภาวนาไม่เป็น

แต่พอมันไปเป็นเขานะ ..อื้อหือ..  มันจะกราบแล้วกราบอีก แต่ถ้ายังทำไม่ได้นะ แต่มันทำยาก ทำยากที่ว่าที่เราทำ พุทโธไปแล้วมันจะเป็นอย่างนี้ อึดอัดขัดข้อง อึดอัดขัดข้องเพราะแรงดันของกิเลส พุทโธไม่มีโทษกับใคร ธรรมะไม่เคยให้โทษกับใคร สิ่งที่ให้โทษก็คือกิเลสในใจของเราเท่านั้น แล้วกิเลสมันมีในใจอยู่แล้วนะ แล้วพวกเรามาสอนกันผิดๆ สอนกันโดยดูถูกเหยียดหยาม พุทโธมันแสนโง่แสนเง่า ไอ้กิเลสที่มันมีแรงอัดในใจอยู่แล้ว มันได้แรงยุจากไอ้หมาที่มันเห่าผิดๆ พอหมามันเห่าผิดเห่าถูกนะ ไอ้เราไปจำเสียงเห่าเสียงหอนมาผิดๆ เราก็ไปเป็นปลุกเร้าให้จิตเรามันเข้มแข็งขึ้นมาอีก พุทโธไม่ดี พุทโธไม่ดีอย่างนี้ โอ้โฮ.. กิเลสมันบอกไม่ดีอยู่แล้ว แล้วมีคนมารับรองมันนะ ไอ้พุทโธนี้พวกโง่  โอ๊ย.. ไอ้จิตตัวนี้มันได้แรงเสริม แล้วเอ็งจะภาวนาอะไรกัน  เอ็งจะภาวนาอะไรกัน  เอ็งจะพากันไปไหน

ฉะนั้นสิ่งที่พูด เห็นไหม กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อแม้แต่คนพูด ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ต้องพิสูจน์กัน ต้องพิสูจน์กัน เราพูดเพื่อต้องการพิสูจน์ เราไม่ได้พูด พูดเรื่องด้วยความอิจฉาตาร้อนกับใครทั้งสิ้น เราต้องพูดสัจจะ แล้วท้าพิสูจน์กัน  ต้องพิสูจน์!  พระพุทธเจ้าบอกกาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อ  ใครเชื่อโง่!  แต่ให้ทำ!  ทำแล้วเอาความจริงนั้นมาพิสูจน์กัน! เอาความจริงที่เป็นนั้นมาพิสูจน์กัน มีมาตรฐานเดียว  อริยสัจมีมาตรฐานเดียว ถ้ามีมาตรฐานต่างๆนั้นมันเรื่องของเขา แต่อริยสัจนั้นมีมาตรฐานเดียว  หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนรื้อค้นมากับหลวงปู่เสาร์แล้ววางไว้ แล้วถ้าพูดเหมือนกันนะ มาตรฐานเดียว มีมาตรฐานสากลมาตรฐานเดียว เอวัง